CR – รีวิว ดูดไขมันหน้าท้อง ดูดไขมันต้นขา จ่ายจริง เจ็บจริง ไม่อวย
หลังจากที่ได้รีวิวเสริมจมูกซิลิโคนไปแล้ว มาวันนี้มารีวิวการทำศัลยกรรมส่วนอื่นบ้างครับ ถ้ามองจากปัญหาเนี่ย คงไม่พ้นสัดส่วน เพราะเราอ้วนขึ้นจากตอนผอม ถึง 22 กิโล
ตอนผอม Vs. ปัจจุบัน
แน่นอนว่าเสื้อเอย กางเกงเอย โละ! ใส่ไม่ได้จ้าาา #เท
ตอนแรกเล่นกล้าม เข้าฟิตเนสนะครับ แต่รู้สึกว่าการกินมันสนุกกว่า ก็เลยไปทุ่มเทกับการกิน สรรหาร้านอร่อย ร้านเด็ด มันก็ค่อยๆอ้วนขึ้นๆ พออ้วนก็อยากผอม แต่ขี้เกียจออกกำลังกาย แต่ก็มีบางช่วงนะที่คุมอาหาร กินสูตรนั่นสูตรนี่ กินอาหารเสริม ไฟเบอร์ บลาบลา คือช่วยได้แปปเดียว แถมโยโย่ด้วยซ้ำ
รูปบางส่วนสมัยเข้ายิม เล่นเวท
เหตุผลหลักที่ไม่ยอมผอมสักที คือ ไม่ออกกำลังกาย กินเข้าไปและไม่เผาผลาญออก มันก็คงไม่ผอมให้ เราก็มาคิดละ อะไรที่จะให้เรากลับมาผอมเหมือนเดิม ถ้าไม่ใช่ออกกำลังกาย และสิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือ .. “ศัลยกรรม”
ผม ดูดไขมัน แล้ว 2 ที่ มีหน้าท้อง และต้นขา เดี๋ยวจะขอเล่าไปทีละส่วนแล้วกันนะครับ
เริ่มแรกเลย ย้อนไปเมื่อประมาณปี 58 หลังจากเรียนจบ มีงานทำ เก็บตังค์ได้แล้ว ผมก็ตัดสินใจดูดไขมันหน้าท้องกับคลินิกนึง เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว พุงล้ำมาก เหมือนตาลุงแก่มีพุง คืออึดอัดตัวเองด้วย ก็เลยเข้าไปปรึกษาหมอ ปรึกษาเสร็จตัดสินใจมัดจำเลย 50% แล้วนัดวันที่เราสะดวก
ถึงวันมาทำ ก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือ+ค่ายา (จริงๆเขามีซับพอร์ตรัดหน้าท้องขาย แต่เราไม่ซื้ออ่ะ แพง ไปซื้อข้างนอกเอา สเตย์รัดหน้าท้องธรรมดานี่แหละ)
หมอให้ยานอนหลับแบบชั่วคราวผ่านทางสายน้ำเกลือ แปปนึงเราก็ตื่น ก็รู้สึกหมดตอนหมอดูด รู้สึกว่ามีอะไรแทงเข้า-ออกที่ท้อง กระซวกๆๆ 555 แต่ไม่เจ็บนะ เพราะชา อารมณ์รู้สึกจั๊กกะจี๋ด้วยซ้ำ มันอธิบายไม่ถูก ความรู้สึกมันเหมือนแค่เอานิ้วจิ้มพุง รู้สึกแค่นั้นจริงๆ แต่พอนานๆไป ตรงแผลที่ผ่าตัดไส้ติ่ง หมอบอกว่ามีพังผืดเยอะ ตรงนั้นเริ่มรู้สึกเจ็บนิดๆแล้ว แต่ทนได้
จำนวนไขมันที่ถูกดูดออกมา หลังดูดเสร็จพยาบาลก็เอามาให้ดูครับ
กลับบ้านมาเราเอาผ้าอนามัยแปะเลย เพราะมันจะมีพวกน้ำเกลือ,ยาชาที่ฉีดเข้าไปไหลออกมา วิธีนี้ใครจะทำตามก็ได้ ไม่หวง เพราะว่าถ้าใช้ผ้าก็อตซับต้องมานั่งเปลี่ยนบ่อยๆ นอนหลับไม่สนิท ผ้าอนามัยดีกว่า หลับสนิทตลอดคืน 5555
มาดูหลังทำกันบ้างครับ
แปะผ้าอนามัยซับเลือดแค่คืนแรกหลังทำครับ หลังจากนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ที่สำคัญเลยคือห้ามแผลโดนน้ำ เราใช้วิธีแปะพลาสเตอร์กันน้ำเอา แผลมีความยาวประมาณไม่ถึงเซนติเมตรครับ เอาไม้บรรทัดวัดแล้ว
7 วันตัดไหม พร้อมติดตามผลกับหมอ และหลังจากนั้นจะมีนัดติดตามผลอีกทีตอนครบ 1 เดือน และ 3 เดือนครับ รอยช้ำถือว่าน้อยมาก (ที่ขีดยาวๆนั่นแผลผ่าตัดไส้ติ่งครับ)
รอยแผลหลังตัดไหมครับ ดูเผินๆเหมือนรอยเล็บจิกครับ
ส่วนตัวว่าดูดหน้าท้องไม่เจ็บ พักฟื้นก็ไม่เท่าไร แต่1-2 คืนแรก จะนอนจะพลิกลำบากหน่อยๆ ออกแนวเมื่อยๆ เหมือนเวลาเราเล่นเวทหรือซิทอัพหนักๆ แล้วเจ็บกล้ามเนื้อ
ตอนนัดติดตามผล 3 เดือน แอบขอถ่ายภาพก่อนหลัง ทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดีอนุญาตให้ถ่ายจากหน้าจอคอมไปครับ
ด้านหน้า
ด้านข้าง
ปัญหาต่อมาคือ ขา ใส่กางเกงไม่ได้ ตอนนี้คือ เอวหลวมแต่คับขา กลายเป็นว่าเวลาหาซื้อกางเกงต้องหาที่พอดีขา ไม่ได้วัดที่เอว แล้วมันก็จะโคร่งๆ เหมือนแต่ง Hip-Hop 5555 งดการใส่กางเกงยีนส์ โดยเฉพาะขาเดฟ ใส่ได้แต่กางเกงผ้าเอวยางยืดแบบนี้ครับ
เดี๋ยวมาต่อเรื่องดูดไขมันขาพรุ่งนี้นะครับ
ด้วยความที่ดูดหน้าท้องแล้วไม่เจ็บ ก็เลยคิดว่า “ฉันต้องทำอีก”
เลยตัดสินใจดูดไขมันต้นขาในเดือนมีนาที่ผ่านมา ก็ทำที่คลินิกเดิม แต่เปลี่ยนหมอใหม่ นัดตรวจเลือด หาคิวว่าง และก็วางมัดจำเหมือนเดิม 50%
ซึ่งต้องบอกเลยว่าการดูดไขมันขาไม่ได้ชิลเหมือนดูดไขมันหน้าท้องนะ บอกเลยว่า “โค-ตะ-ระเจ็บ”
ถึงวันทำก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือ+ค่ายา ซับพอร์ตไม่ได้ซื้อเหมือนเดิม เพราะที่บ้านมีชุดรัดอยู่แล้ว
ส่วนรอบนี้มีการดมยาสลบด้วย เราก็งดน้ำงดอาหาร 8 ชั่วโมงก่อนทำ และก็หลับไปไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีคือเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร ชาๆ พยาบาลก็เอาไขมันมาให้ดูและก็มาพันขาให้ มีข้าวต้มกับน้ำแดงมาให้ด้วย
สักแปปเราก็กลับบ้าน แต่ไม่กลับจริง (ไปเดินเล่นหนีบตุ๊กตาที่ห้างต่อ) เดินเยอะจนเริ่มเจ็บละ 555 ก็เลยกลับบ้านแบบจริงๆ (รู้สึกเหมือนกางเกงเริ่มเปียกด้วย)
ไขมันขา รอบนี้เยอะกว่าตอนดูดท้องอีก
พอถึงบ้านปุ๊บ ยาชาเริ่มหมด รู้เรื่องจ้าาา ผ้าก็อตก็เต็ม มีเลือดผสมน้ำเกลือซึมออกมาถึงผ้าพันขา เลอะกางเกงนิดหน่อย ตามจุดที่ดูดไขมันครับ
ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนดูดท้องเลยครับ ดูดท้องผมรีบกลับบ้านแปะผ้าอนามัย แต่ครั้งนี้เถลไถล กว่าจะถึงบ้านผ้าก็อตก็เต็ม
พอแกะผ้าพัน+ผ้าก็อตออก เลือดผสมน้ำเกลือนี่คือไหลเป็นทางเลยครับ ได้ฟีลเหมือนคนแท้งหรือจะคลอดลูกเลย แต่ไม่รู้สึกตกใจนะครับ เรารีบเปลี่ยนเอาผ้าอนามัยแปะ เพื่อไม่ให้เลือดมันเลอะห้อง แล้วก็เอาผ้าพันมาพันครับ
มาดูหลังทำเลยดีกว่าครับ
(ขออภัยนะครับ ถ้าภาพค่อนข้างหวาดเสียว)
หลังทำวันแรก แกะผ้าพันออก ให้ขาหายใจหน่อย คือแบบช้ำมากกกกก เหมือนโดนซ้อม 555 ช้ำแบบนี้อยู่หลายวัน และก็ค่อยๆหายไป (เราทายาแก้ฟกช้ำช่วยด้วยครับ)
ครบ 7 วันก็ไปตัดไหม
7วันแรกบอกเลยเดินลำบาก มันตึง และก็เจ็บแบบช้ำๆเหมือนเดิม 5555 ตลอดเวลาคิดว่าแบบ ไม่เอาแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว เจ็บโพดๆ อยากย้อนเวลา ไม่อยากทำแล้ว มาเดินได้แบบคล่องตัวหน่อยก็อาทิตย์ที่ 2 นี่แหละ แต่หลังจากเดินได้ ก็ไม่ได้รู้สึกอยากย้อนเวลานะ พอมันหายเจ็บ เห็นว่าขาเล็กลงจริง ก็รู้สึกว่าก็โออยู่นะที่ทำ 555
ช่วง 2 อาทิตย์แรกเราเอาผ้าพันรัดแทน กางเกงซับพอร์ตนะ เพราะว่าใส่กางเกงเลยยังไม่ได้ มันเจ็บมาก เลยไม่ฝืนจ้าา
แต่หลังจากที่เริ่มใส่กางเกงซับพอร์ตได้ ก็ใส่ไว้ตลอดเลย
ผ่านไป 1 เดือน เห็นขาเล็กลง ส่วนตัวว่าชัดเจนนะ
ด้านหน้า
ด้านข้าง
ด้านหลัง
ช่วงเดือนแรก มีอาการชา ความรู้สึกจะเหมือนเวลาเราเป็นเหน็บชาตอนใกล้จะหายอ่ะครับ แต่ไม่มีผลกระทบอะไรในการใช้ชีวิต และ ณ ตอนนี้อาการชานั้นแทบจะไม่มีแล้วครับ
สรุปค่าใช้จ่ายของเราทั้งหมด
ดูดไขมันหน้าท้อง
– ค่าดูดไขมันแบบเหมาหน้าท้อง 49,000 บาท
– ค่ายา 1,040 บาท
ดูดไขมันต้นขา
– ค่าดูดไขมันแบบเหมาต้นขา 49,000 บาท
– ค่ายา 1,040 บาทเช่นกัน
สำหรับเราการดูดไขมันทั้ง 2 ครั้ง ก็พอใจทั้งคู่ แต่ยกความเจ็บให้ขา อาจจะเป็นเพราะขาคือส่วนที่รับน้ำหนักในการเดิน มันเลยเจ็บมากที่สุด แต่คนละอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนเจ็บ บางคนไม่ อย่างท้องเนี่ยไม่เจ็บเลยออกแนวเมื่อยๆ แต่ขาเนี่ยเจ็บมากจริง
หลังจากนี้ก็คงจะเลิกขี้เกียจและหันกลับมาออกกำลังอย่างจริงจัง เพราะดูดไขมันสัดส่วนเราเล็กลงจริง แต่สุขภาพเราไม่ได้ การดูดไขมันของเราครั้งนี้เป็นตัวช่วยให้การออกกำลังกายของเรามันรวดเร็วขึ้น ให้เราเหลือไขมันที่ต้องเบิร์นน้อยลง จากที่ต้องออก 100 ถึงจะผอม ก็กลับมาออก 50 อะไรแบบนั้น
นอกจากจะมีแพลนลดน้ำหนักอย่างจริงจังแล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องไปหากางเกงขาเดฟมาใส่เพิ่ม เพราะใส่ได้แล้ว ไม่ต้องวัดกางเกงจากต้นขาอีกแล้ว 55555
ขอบคุณกระทู้จาก Pantip.com
สอบถามข้อมูลได้ที่
Call Center : 02-1054370
Facebook : masterpiececlinicbeauty
Instagram : masterpiece_Hospital
Line : @masterpiececlinic
Youtube : Masterpiece Clinic